หวนย้อนกลับไปพบกับซามูไรและเหล่านักรบที่ถนน Nakasendo

22 ส.ค. 2019

ในหุบเขาคิโซะ (Kiso Valley) ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในธรรมชาติห่างไกลความเจริญของเมืองใหญ่ ยังคงปรากฎร่องรอยของเส้นทางถนนโบราณที่มีประวัติยาวนานย้อนไปไกลถึงยุคที่ญี่ปุ่นยังปกครองด้วยระบบศักดินานำโดยโชกุน ซึ่งเหล่าซามูไรและเกอิชายังคงมีชีวิตโลดแล่นอยู่ เส้นทางสายนี้เรียกว่า “นากะเซ็นโด” (Nakasendo) หรือแปลตรงตัวว่าได้ว่า “ถนนกลางภูเขา”

เนื้อหาบทความ

  1. 1. นั่งไทม์แมชชีนกลับไปในอดีตที่สึมาโกะ
  2. 2. ตามรอยประวัติศาสตร์บนถนนนากะเซ็นโด
  3. 3. เดินทางถึงเป้าหมาย “มาโกเมะ”
  4. 4. ช่วงที่ควรไปเที่ยว
  5. 5. วิธีการเดินทาง

เส้นทางนากะเซ็นโดเชื่อมต่อเกียวโตเข้ากับเอโดะ (หรือโตเกียวในปัจจุบัน) ผ่านภูเขาในจังหวัดนากาโนะ รวมเป็นความยาวทั้งหมดกว่า 534 กิโลเมตร และยังเป็น 1 ใน 5 ถนนสายหลักสำคัญในอดีตซึ่งพัฒนาขึ้นในช่วงยุคเอโดะ (ค.ศ. 1600-1868) โดยคำสั่งของโชกุนเพื่อใช้ในการเดินทางมารายงานตัวต่อรัฐบาลของเจ้าหน้าที่ทางการ ตลอดถนนทั้งเส้นจะพบกับเมืองเก่า (post town) ที่ใช้เพื่อพักแรมกลางทางกว่า 69 แห่ง ซึ่งจำเป็นต้องแวะพักไปตลอดการเดินทางหลายสัปดาห์จนกว่าจะถึงเอโดะ

บรรยากาศที่เงียบสงบของเมืองเก่าสึมาโกะ (Tsumago) ในตอนเช้า

ด้วยนวัตกรรมในการผลิตรถยนต์และการรถไฟที่พัฒนาขึ้นมา ทำให้บางส่วนของถนนนากะเซ็นโดถูกเปลี่ยนแปลงไปเป็นถนนไฮเวย์และรางรถไฟ อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางส่วนที่เหลือรอดการพัฒนาเหล่านี้และยังคงแทบอยู่ในสภาพเดิม ส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือส่วนที่อยู่ในหุบเขาคิโซะระหว่างเมืองเก่าสึมาโกะ (Tsumago) และมาโกเมะ (Magome) ถ้าใครอยากรู้ว่าบรรยากาศบ้านเมืองที่เหล่าซามูไรและเจ้าหญิงเคยสัมผัสในอดีตนั้นเป็นอย่างไร ต้องลองมาเดินเที่ยวที่ถนนนากาเซ็นโดดู ซึ่งเราก็ไปลองมาแล้วเพื่อที่จะได้ไปบอกต่อให้ทุกคนที่สนใจได้ไปตามรอยกัน

ภาพพิมพ์เก่าแสดงถึงการเดินทางในสมัยก่อนที่สึมาโกะ (ซ้าย) และมาโกเมะ (ขวา)

การเดินเทรกที่นากะเซ็นโด สามารถเริ่มต้นได้จากฝั่งสึมาโกะหรือมาโกเมะก็ได้ ซึ่งทั้ง 2 ฝั่งสามารถเดินทางมาได้โดยรถไฟและรถบัส (ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางจะเขียนไว้ด้านล่าง) ถึงแม้ว่าการมาเดินเทรกที่ถนนนากะเซ็นโดสามารถมาแบบไปเช้า-เย็นกลับจากโตเกียวหรือเกียวโตได้ แต่แนะนำให้มาเริ่มต้นเดินทางจากเมืองที่ใกล้กว่าอย่างเมืองมัตสึโมโต้ เพื่อที่จะได้ค่อยๆเที่ยวชมและดื่มด่ำไปกับบรรยากาศและธรรมชาติได้อย่างไม่รีบร้อน

มีหลายความเห็นเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นเดินเทรกว่าเริ่มจากฝั่งไหนดีกว่ากันระหว่างสึมาโกะกับมาโกเมะ กรณีที่เริ่มเดินเทรกจากสึมาโกะ หมายความว่าจะต้องเดินขึ้นเนินเป็นระยะทางที่ยาวกว่า เพราะสึมาโกะอยู่ที่ความสูง 420 เมตร ในขณะที่จุดที่อยู่สูงสุดของเส้นทางเดินเทรกอยู่ที่ประมาณ 801 เมตร และจุดสุดท้ายคือมาโกเมะอยู่ที่ความสูง 600 เมตร

ส่วนกรณีที่เริ่มต้นที่มาโกเมะ หมายความว่าในช่วงแรกของการเดินจะค่อนข้างชัน แต่หลังจากผ่านจุดที่อยู่สูงที่สุดแล้ว การเดินลงก็ง่ายนิดเดียว ซึ่งเส้นทางจากฝั่งนี้เป็นที่นิยมมากกว่า แต่ไม่ว่าจะเลือกเดินทางไหนวิวข้างทางก็สวยไม่ต่างกันค่ะ

คราวนี้เราเลือกที่จะไม่ตามใครและจะเริ่มเดินจากฝั่งสึมาโกะค่ะ!

นั่งไทม์แมชชีนกลับไปในอดีตที่สึมาโกะ

ทริปนี้เริ่มต้นแต่เช้าตรู่โดยนั่งรถไฟ JR จากสถานีมัตสึโมโต้ (Matsumoto) ไปลงที่สถานีนากิโสะ (Nagiso) และต่อรถบัสที่มุ่งหน้าไปสึมาโกะ (Tsumago)

ป้ายรถบัสที่สึมาโกะ

เมื่อถึงเมืองเก่าสึมาโกะ (บางครั้งก็เรียกตามภาษาญี่ปุ่นว่า Tsumago-juku) ก็รู้สึกถึงบรรยากาศเก่าๆในทันที เมืองเก่าแห่งนี้เป็นเมืองเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งจากเมืองเก่าหลายๆแห่งในญี่ปุ่น แบบที่ไม่ต้องแปลกใจเลยหากจู่ๆจะเจอซามูไรออกมาเดินให้เห็นอยู่กลางถนน

ตรอกซอยเล็กๆนำเราสู่กลางเมืองจากป้ายรถบัส

ถ้าหากต้องการบรรยากาศในอดีตของญี่ปุ่น แนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ไปเที่ยวเมืองเก่าสึมาโกะ ที่นี่ให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์คงความดั้งเดิมเป็นอย่างมาก เผลอๆอาจจะมากกว่าที่เกียวโตด้วยซ้ำไป ถึงขั้นมีการตกลงกันว่าจะไม่มีการ “ขาย ให้เช้า หรือทำลาย” สิ่งก่อสร้างใดๆในสึมาโกะเป็นอันขาด

โชคดีที่วันนี้ฟ้าใส อากาศดี เหมาะกับการเดินเที่ยวเป็นที่สุด

จุดท่องเที่ยวไฮไลต์ของเมืองก็คือตัวถนนนั่นเอง โดยเฉพาะถนนในส่วนที่เรียกว่าเทะระชิตะ (Terashita) ซึ่งเรียงรายไปด้วยบ้านและร้านรวงทำด้วยไม้ โดยมีภูเขาเป็นฉากหลัง ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรวมสวยงามยิ่งขึ้นไปอีกราวกับภาพวาดเลยทีเดียว

ถนนส่วนที่เรียกว่าเทะระชิตะ (Terashita)
ร้านขายเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเรโทรที่มีลวดลายญี่ปุ่นอันเป็นเอกลักษณ์

ในสึมาโกะยังมีอีกหลายจุดท่องเที่ยวให้แวะชม เช่น สึมาโกะฮนจิน (Tsumago Honjin) ซึ่งถูกใช้เป็นที่พักค้างแรมของไดเมียวหรือผู้สูงศักดิ์ในอดีต วัดโคะโตะกุ (Kotoku-ji Temple) ซึ่งเชื่อกันว่าสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1500 และซากปราสาทสึมาโกะ ถึงแม้ว่าจะไม่มีตัวปราสาทตั้งตระหง่านอย่างปราสาทมัตสึโมโต้ แต่ก็สามารถมองลงมาจากเขาชมวิวทั้งหมดของสึมาโกะได้

บ้านเก่าโบราณแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกมาจากถนนสายหลักของสึมาโกะ

ตลอดข้างถนนมีร้านอาหารและร้านรวงเล็กๆที่ขายของว่างและขนมท้องถิ่น เช่น “โกะเฮโมจิ” ขนมโมจิย่างราดด้วยซอสมิโสะและวอลนัทรสหวาน ไอศกรีมรสเกาลัด และโซบะอาหารขึ้นชื่อจังหวัดนากาโนะ

ขนมโกะเฮโมจิรสหวาน หอม อร่อย

หลังจากเดินเล่นสักอีกพัก เราจึงตัดสินใจที่จะเริ่มเดินเทรก โดยตามป้ายบอกทางไปมาโกเมะ ซึ่งจะพาเราออกนอกเมืองเก่าเข้าไปในธรรมชาติบ้านนอกของญี่ปุ่น ถึงแม้ว่าทางเดินไปมาโกเมะจะเข้าใจและเดินได้ง่ายดาย ก็สามารถแวะหยิบแผนที่จากศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวหรือดาวน์โหลดแผนที่ได้จากที่นี่ก็ได้ ระหว่างทางมีป้ายบอกทางทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษไปตลอดทาง ไม่ต้องกลัวหลงเลย

นอกจากแผนที่เดินเทรกแล้ว ที่ศูนย์ข้อมูลนักท่องเที่ยวยังมีข้อมูลต่างๆอีกมากมายที่เป็นประโยชน์ด้วย

ตามรอยประวัติศาสตร์บนถนนนากะเซ็นโด

ทางเดินที่ทอดนำเราเข้าไปป่าสีเขียว

เส้นทางเดินเทรกนี้มีความยาวประมาณ 8 กิโลเมตร ทอดผ่านไร่สวน ทุ่งนา น้ำตกและรูปปั้นหิน (โดะโซจิน) ใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง รวมเวลาพักและหยุดชมธรรมชาติกลางทาง อย่าลืมที่จะเตรียมรองเท้าที่ทะมัดทะแมง และถ้าจะดีที่สุดคือรองเท้าสำหรับเทรกกิ้ง (ถ้ามี)

ป้ายบอกทางตั้งอยู่เป็นระยะๆ เข้าใจง่าย
ในป่าตลอดทางจะพบกับแผ่นหินและรูปปั้นหินสวยงาม
รูปปั้นที่เห็นเป็นรูปคนคือโดะโซจิน ซึ่งเชื่อว่าจะคอยพิทักษ์คุ้มภัยให้กับผู้ที่เดินทาง

ระหว่างเดินจะพบกับเครื่องหมายต่างๆที่ช่วยบอกเส้นทางที่ถูกต้อง รวมถึงป้ายที่เตือนให้ระวังหมี และหลายแห่งก็มีระฆังให้ตีไล่ไม่ให้เข้ามาใกล้ๆในบริเวณ ขณะที่เดินเราอาจจะได้ยินเสียงใครตีระฆังก็ได้

ระฆังไล่หมีที่ “Nakasendo Lucky Point” (777 เมตร)

เมื่อเดินไปได้ครึ่งทาง จะพบกับร้านน้ำชาให้พักดื่มน้ำชากับทานขนมหวาน แวะพักที่นี่สักเล็กน้อยจะช่วยให้มีกำลังเดินต่อไปสบายขึ้นมากทีเดียว สำหรับพวกเราขอแวะพักที่นี่ก่อนที่จะเทรกต่อ เพราะทางข้างหน้าก่อนจะถึงช่องเขามาโกเมะ (Magome Pass) จุดที่อยู่สูงที่สุดของเส้นทางนั้นค่อนข้างชัน (801 เมตร)

ต้นบ๊วยข้างหน้าร้านน้ำชากำลังบานเต็มที่เลย แต่งแต้มสีสันสีชมพูให้สดใสไปทั่วบริเวณ
ถ้าเห็นป้ายนี้ก็แสดงว่าเรากำลังยืนอยู่จุดที่สูงระหว่างสึมาโกะกับมาโกเมะ หลังจากปีนข้ามช่องเขามาโกเมะมาแล้ว ก็เป็นทางลงโดยตลอด เปลี่ยนบรรยากาศจากที่เดินขึ้นเนินมาตลอด

เดินทางถึงเป้าหมาย “มาโกเมะ”

ใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงกว่า เราก็เดินทางมาถึงมาโกเมะ โดยก่อนที่จะถึงเมืองจะพบกับจุดชมวิวสวยงามที่สามารถมองออกไปเห็นป่าและภูเขารอบข้าง

หลังจากพ้นจากแนวป่าออกมา ได้เห็นวิวสวยๆแบบนี้ก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

เมื่อเข้าสู่เมืองเก่ามาโกเมะ จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างกันของเมืองเก่าทั้ง 2 แห่ง ในขณะที่สึมาโกะให้ความรู้สึกเหมือนกับได้นั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปในอดีตจริงๆ แต่ที่มาโกะเมะกลับมีกลิ่นอายความเป็นสมัยใหม่อยู่ด้วย ถึงแม้ว่าจะมีบ้านเรือนเก่าๆเหมือนกับที่พบที่สึมาโกะและเมืองเก่าแห่งอื่น แต่เนื่องจากมีการซ่อมแซมปรับปรุง จึงทำให้ที่นี่มีบรรยากาศสดใส มีชีวิตชีวาและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวมากกว่า สามารถแวะเที่ยวพิพิธภัณฑ์วะกิฮนจิน (Wakihonjin Museum) สถานที่พักแรมในอดีตซึ่งได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ในปัจจุบัน รวมถึงร้านขายของและร้านอาหารอีกหลายแห่งที่มีเรียงรายตลอดทาง

ประมาณช่วงเที่ยง มาโกเมะก็คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วสารทิศ

พวกเราต่างก็รู้สึกหิวและเหน็ดเหนื่อยจากการเดินเทรก ก็เลยคว้าเอาสิ่งแรกที่เห็นหรือจะพูดให้ถูกคือ...ได้กลิ่น กลิ่นขนมอบอวนไปในอากาศ สายตาเราก็พลันเหลือบไปเห็นร้านเล็กๆขายขนมหน้าตาเหมือนเค้ก สอดใส่คัสตาร์ด ถั่วแดงและเกาลัดหวานข้างในสุด รู้ตัวอีกครั้งเท้าก็พาเราไปยื่นหน้าร้านแล้ว

ขนมนี้มีชื่อว่า “คุริฟุกุ” (Kuriguku) ถ้ามามาโกเมะต้องมาลองให้ได้!

เดินเล่นถ่ายรูปอีกสักพัก เราก็ถึงเวลาจะต้องกลับมัตสึโมโต้แล้ว เดินไปขึ้นรถบัสมุ่งหน้าไปนากะสึกะวะ (Nakatsugawa) สถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดกับสถานีมาโกเมะ

บรรยากาศที่สวยงามของเมืองเก่ามาโกเมะ

การที่ได้มาเดินเทรกที่ถนนนากะเซ็นโดเป็นประสบการณ์แสนวิเศษที่บอกตัวเองว่าต้องมาอีกครั้งให้ได้ ใครจะรู้ คราวหน้าเราอาจจะเริ่มเดินมาจากเกียวโตเลยก็ได้

ช่วงที่ควรไปเที่ยว

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่แนะนำคือในช่วงฤดูใบไม้ผลิ (เดือนเมษายน) และช่วงฤดูใบไม้ร่วง (เดือนตุลาคม / พฤศจิกายน) ซึ่งสามารถชมดอกซากุระและใบไม้เปลี่ยนสีสีสันสวยงามระหว่างการเดินเทรก ซึ่งจะทำให้การเดินรื่นรมย์ขึ้นไปอีก แต่ไม่ใช่ว่าในฤดูร้อนจะไม่ควรมา เพราะสีเขียวในหน้าร้อนก็สวยงามไม่แพ้กัน หากแต่เส้นทางเดินบางส่วนไม่มีต้นไม้กำบังแดด หากมาเดินในช่วงนี้ก็ต้องเตรียมหมวก (หรือจะซื้อหมวกสานให้เข้ากับบรรยากาศจากร้านค้าแถวๆนั้น) กับน้ำดื่มให้พร้อมเพรียงด้วย!

วิธีการเดินทาง

กรณีเริ่มเทรกจากมาโกเมะ: จากสถานีมัตสึโมโต้ สามารถนั่งรถไฟ JR Limited Express (Wide View) Shinano หรือนั่งรถไฟธรรมดา Local ก็ได้ (Chuo Line) และลงที่สถานีนากะสึกะวะ (Nakatsugawa) แล้วต่อรถบัสไปมาโกเมะ (ดูตารางเวลาบัส)

ขากลับหลังจากเทรกไปสึมาโกะแล้ว ก็ให้นั่งรถบัสสาย Nagiso-Tsugamo-Magome ไปลงที่สถานีนากิโสะ (Nagiso) (ดูตารางเวลาบัส) แล้วนั่งรถไฟ Limited Express (Wide View) Shinano หรือนั่งรถไฟธรรมดา Local (Chuo Line) กลับมามัตสึโมโต้เหมือนกับขามา สามารถเช็คเวลารถไฟได้จากเว็บไซต์ Hypedia

กรณีเริ่มเทรกจากสึมาโกะ: ก็ให้เดินทางแบบเดียวกับด้านบนแต่กลับกันเท่านั้นเอง

สำหรับใครก็ตามที่ชอบชมเมืองเก่า บ้านเรือนโบราณ แต่ไม่อยากจะเดินเทรกระหว่างเมืองเก่าทั้งสอง ก็สามารถนั่งบัสสาย Nagiso-Tsugamo-Magome ซึ่งจะวิ่งไปมาระหว่างสึมาโกะกับมาโกะเมะได้เช่นกัน อย่างไรก็ตามเที่ยวรถบัสมีค่อนข้างน้อย อย่าลืมเช็คเวลารถบัสด้วยนะคะ

แนะนำร้านอาหารใกล้ๆ Norikura Kogen Tourist Center
“กำแพงหิมะ” ไม่ได้มีที่ทาเตยามะอัลไพน์รูทที่เดียว!

บทความที่คุณอาจสนใจ

จุดเช็คอินชมใบไม้เปลี่ยนสี 9 แห่งในนากาโนะ

5 สถานที่ต้องไปในเจแปนแอลป์ตอนเหนือ!