(อัพเดตปี 2023) คู่มือแนะนำเที่ยวคามิโคจิฉบับเต็ม (เที่ยวเมื่อไหร่ เดินทางยังไง เปิดปิดเมื่อไหร่ เดินเที่ยวยังไง)

17 ธ.ค. 2020

บทความรวมข้อมูลที่จำเป็นและควรรู้ก่อนไปสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนไปเที่ยวคามิโคจิ ครอบคลุมคำถามที่พบบ่อยและทิปส์ในการท่องเที่ยว

เนื้อหาบทความ

  1. 1. คามิโคจิอยู่ที่ไหนในญี่ปุ่น
  2. 2. สิ่งที่ต้องรู้ก่อนไปคามิโคจิ
  3. 2.1. ช่วงเวลาเปิด-ปิดอุทยาน
  4. 2.2. ห้ามรถส่วนตัวเข้าคามิโคจิ
  5. 2.3. โรงแรมที่พักและที่ตั้งเต็นท์
  6. 2.4. ข้อห้ามและสิ่งที่ควรทำ
  7. 3. ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ควรไปคามิโคจิ
  8. 3.1. ฤดูใบไม้ผลิ
  9. 3.2. ฤดูร้อน
  10. 3.3. ฤดูใบไม้ร่วง
  11. 3.4. ฤดูหนาว
  12. 3.5. สภาพอากาศและการแต่งตัว
  13. 4. เส้นทางแนะนำสำหรับเดินในคามิโคจิ (มีแผนที่)
  14. 5. ร้านค้าและร้านอาหาร
  15. 6. สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำใกล้เคียง
  16. 6.1. โนริคุระ
  17. 6.2. มัตสึโมโต้
  18. 6.3. ชิราโฮเนะออนเซ็น
  19. 6.4. ทาคายามะ
  20. 6.5. หมู่บ้านชิราคาว่าโกะ
  21. 6.6. ชินโฮทากะโรปเวย์
  22. 7. การเดินทางไปคามิโคจิ
  23. 7.1. จากมัตสึโมโต้ไปคามิโคจิ
  24. 7.2. จากโตเกียวไปคามิโคจิ
  25. 7.3. จากโอซาก้าไปคามิโคจิ
  26. 7.4. จากนากาโนะไปคามิโคจิ
  27. 7.5. จากทาคายามะไปคามิโคจิ
  28. 7.6. เช่ารถขับไปคามิโคจิ
  29. 8. การเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆคามิโคจิ
  30. 8.1. จากคามิโคจิไปโนริคุระ
  31. 8.2. จากคามิโคจิไปชิราโฮเนะออนเซ็น
  32. 9. พาสรถบัสแนะนำ
  33. 9.1. พาส 2-Day Free Passport
  34. 9.2. พาส 4-Day Alps WIDE Free Passport
  35. 9.3. พาส Alps Crossing Ticket (เส้นทางคามิโคจิ)

คามิโคจิอยู่ที่ไหนในญี่ปุ่น

คามิโคจิคือหุบเขาสวยงามในจังหวัดนากาโนะ ตั้งอยู่บนความสูงประมาณ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ด้วยตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองมัตสึโมโต้และทาคายามะ ทำให้คามิโคจิเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในการเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับจากเมืองทั้ง 2 แห่ง หากดูแผนที่ก็จะสังเกตได้ว่า คามิโคจินั้นยังอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองนาโกย่าและโตเกียวเป็นระยะทางพอๆกันด้วยจึงใช้เวลาในการเดินทางพอๆกัน แต่เนื่องจากมีรถบัสตรงวิ่งไปคามิโคจิจากโตเกียวมากกว่าจึงทำให้การเดินทางจากฝั่งโตเกียวสะดวกสบายกว่าเล็กน้อย

สิ่งที่ต้องรู้ก่อนไปคามิโคจิ

ช่วงเวลาเปิด-ปิดอุทยาน

คามิโคจิเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปในท่องเที่ยวในระยะเวลาที่กำหนด คือตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน จนถึง 15 พฤศจิกายน หากไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไร ก็จะใช้กำหนดการนี้ในทุกๆปี เหตุผลในการปิดอุทยานในช่วงหน้าหนาวก็เพราะหิมะที่ตกหนักและเพื่อเป็นการให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟูจากการมาเยือนของนักท่องเที่ยวด้วย ช่วงระยะเวลาที่อุทยานปิดในฤดูหนาว ทั้งโรงแรม ร้านค้า รวมถึงรถบัสที่ไปคามิโคจิก็จะหยุดให้บริการด้วย วิธีเดียวที่จะไปเข้าไปในคามิโคจิในฤดูหนาวก็คือจะต้องเดินสโนว์ชูส์เข้าไปด้วยตัวเอง

 

อ่านเพิ่มเติม: เดินสโนว์ชูส์ไปคามิโคจิในฤดูหนาว

ห้ามรถส่วนตัวเข้าคามิโคจิ

เพื่อเป็นการลดมลพิษ รักษาสภาพแวดล้อมและจัดระเบียบการจราจร จึงมีนโยบายห้ามนำรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปในอุทยาน สำหรับคนที่คิดจะเดินทางด้วยการขับรถเช่า จำเป็นต้องจอดรถไว้ด้านนอกอุทยานและนั่งรถบัสต่อเข้าไปเท่านั้น หากมาจากฝั่งมัตสึโมโต้ให้จอดรถที่สะวันโดะ (Sawando) และถ้าหากมาจากฝั่งทาคายามะให้จอดรถที่อะคันดะนะ (Akandana)

 

ดูตารางรถบัสสาย Sawando – Kamikochi >

ดูตารางรถบัสสาย Akandana – Kamikochi >

โรงแรมที่พักและที่ตั้งเต็นท์

ราคาที่พักภายในอุทยานค่อนสูง มีราคาตั้งแต่ 10,000 กว่าเยนไปจนถึง 60,000 เยน แต่หากใครมีกำลังทรัพย์ แนะนำให้พักค้างคืนในคามิโคจิสักหนึ่งคืน เพื่อที่จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศธรรมชาติอย่างเต็มที่ นอกจากที่กลางคืนจะได้ดูดาวสวยๆแล้ว ตอนเช้าตื่นมายังได้เดินเล่นสูดอากาศให้เต็มปอดโดยที่ยังไม่มีนักท่องเที่ยวเดินคลาคล่ำ

 

แต่หากมีงบจำกัดก็สามารถเลือกตั้งแคมป์หรือนอนบังกาโลที่ที่ตั้งแคมป์โคะนาชิไดระ (Konashi-daira Campsite) ก็ได้ ที่ตั้งแคมป์แห่งนี้อยู่ใกล้กับท่ารถบัสคามิโคจิที่สุด (เดิน 8 นาที)

 

ถ้าคุณกำลังมองหาที่พักบรรยากาศเงียบสงบที่สามารถแช่ออนเซ็นธรรมชาติภายได้ จากโรงแรมที่พักกว่า 30 แห่งในคามิโคจิ ขอแนะนำโรงแรมคามิโคจิเลอมิเอสต้า (Kamikochi Lemeiesta Hotel) นอกจากออนเซ็นอุ่นๆ ก็ยังมีอาหารเย็นอร่อยๆซึ่งมีไฮไลต์คือเนื้อวัวย่างแล่บางราดด้วยซอสสูตรพิเศษกับวาซาบิด้วย

หนึ่งในโรงแรมที่ดีที่สุดสำหรับการถ่ายดาว จัดอันดับโดย Nikkei Newspaper (ปี2017)

นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งทางเลือก คือเลือกพักโรงแรมในตัวเมืองมัตสึโมโต้หรือทาคายามะ และไปเที่ยวคามิโคจิแบบไปเช้า-เย็นกลับ ซึ่งมีตัวเลือกโรงแรมมากมายหลายระดับ สามารถประหยัดค่าโรงแรมไปได้มากทีเดียว

 

ที่พักแนะนำในเมืองมัตสึโมโต้

ข้อห้ามและสิ่งที่ควรทำ

สิ่งที่ควรทำ:

  • นำขยะกลับออกไปทิ้งนอกอุทยาน
  • พกกระดิ่งติดตัวขณะเดินเที่ยว สำหรับเอาไว้ป้องกันหมี
  • ยื่นแผนการเดินป่า (สำหรับคนที่ปีนเขา)
  • จ่ายค่าบำรุงรักษาเมื่อใช้ห้องน้ำสาธารณะ (100 เยน ไม่มีเงินทอน)

สิ่งที่ห้ามทำ:

  • ห้ามเข้าใกล้และให้อาหารสัตว์ป่า
  • ห้ามเดินออกนอกทางเดินที่อุทยานจัดไว้ให้
  • ห้ามใช้โดรน
  • ทิ้งเศษอาหารที่รับประทานเหลือ เพราะจะทำให้สัตว์ป่าออกมาบ่อยขึ้น

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ควรไปคามิโคจิ

คามิโคจิเต็มไปด้วยธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งจะเปลี่ยนโฉมหน้าให้เราเห็นแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู ทำให้ต้องอยากกลับมาคามิโคจิอีกครั้งในฤดูอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีคำตอบที่แน่นอนว่าช่วงไหนคือช่วงที่ “ดีที่สุด” แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล แต่เรามีรูปมาให้ดูกันว่าคามิโคจิในแต่ละฤดูเป็นอย่างไรค่ะ

ฤดูใบไม้ผลิ

บรรยากาศฤดูใบไม้ผลิในคามิโคจิค่อนข้างแตกต่างจากในตัวเมืองตั้งแต่คามิโคจิเริ่มเปิดอุทยานไปจนถึงต้นเดือนพฤษภาคม ภายในอุทยานอาจจะยังมีหิมะหลงเหลือบนพื้นอยู่บ้างเล็กน้อย อุณหภูมิช่วงกลางวันอาจจะลดต่ำลงไปถึงเลขตัวเดียวได้ ให้ความรู้สึกเหมือนช่วงปลายฤดูหนาวมากกว่า โดยเฉพาะวันไหนที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม สิ่งหนึ่งที่ควรรู้ก็คือในช่วง 1- 2 สัปดาห์หลังเปิดอุทยาน ร้านค้าและโรงแรมบางแห่งจะยังไม่เปิดบริการ

ต้นฤดูใบไม้ผลิ - 27 เมษายน
ต้นฤดูใบไม้ผลิ - 30 เมษายน

หลังจากช่วงวันหยุดโกลเด้นวีค ต้นไม้ใบหญ้าจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวสดพร้อมๆกับอุณหภูมิที่อบอุ่นขึ้น อุณหภูมิระหว่างวันอาจจะเปลี่ยนแปลงขึ้นลงได้ แต่ส่วนใหญ่จะเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวมาก เหมาะกับการเดินเล่น นอกจากนี้ยังเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นไม่ค่อยเที่ยวกัน จึงเป็นอีกหนึ่งช่วงที่เวลาที่น่ามาเที่ยวคามิโคจิ

ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิหลังโกดเด้นวีค - 20 พฤษภาคม

ฤดูร้อน

ฤดูร้อนในคามิโคจิเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมไปจนถึงกลางเดือนกันยายน โดยทั่วไปแล้วที่คามิโคจิจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าที่โตเกียวประมาณ 5-10 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลบร้อนยอดนิยมของชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นฤดูกาลแห่งการปีนเขาอีกด้วย คนที่มีวันหยุดยาวในช่วงหน้าร้อนญี่ปุ่น แนะนำให้มาที่คามิโคจิแล้วคุณจะไม่ผิดหวัง อย่างไรก็ตามควรที่จะหลีกเลี่ยงช่วงวันหยุดโอบ้ง (11-16 สิงหาคม) เพราะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวกันมากที่สุดในรอบปีพอๆกับช่วงโกลเด้นวีคเลย

ฤดูร้อน – 15 กันยายน

ฤดูใบไม้ร่วง

ฤดูใบไม้ร่วงเป็นหนึ่งช่วงฤดูกาลยอดนิยมที่คนชอบมาเที่ยวคามิโคจิ ช่วงพีคของใบไม้เปลี่ยนสีอยู่ประมาณกลางเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตามช่วงชมใบไม้เปลี่ยนสีของแต่ละปีจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพอากาศในปีนั้นๆ บางปีอาจจะเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเร็ว ช่วงพีคก็อาจจะมาเร็วตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมเลยก็ได้ นอกจากนี้ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคมยังเป็นช่วงที่ญี่ปุ่นมีพายุไต้ฝุ่นเข้าบ่อย ต้องเช็คข่าวสภาพอากาศดีๆด้วย

 

สัญลักษณ์แห่งฤดูใบไม้ผลิของคามิโคจิคือต้นสนคะระมัตสึ (white-birch) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไปจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน เมื่อเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน สภาพอากาศจะเริ่มคงที่ไม่ค่อยแปรปรวนแล้ว นอกจากจะยังพอเห็นใบไม้เปลี่ยนสี ยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไหร่ จึงเป็นอีกหนึ่งช่วงที่น่าเที่ยวของคามิโคจิหากสภาพอากาศเป็นใจ

ต้นฤดูใบไม้ผลิ – 3 ตุลาคม
ฤดูใบไม้ผลิ – 25 ตุลาคม
ปลายฤดูใบไม้ผลิ – 3 พฤษภาคม

ฤดูหนาว

อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น คามิโคจิจะปิดอุทยานไม่ให้คนเข้าไปในช่วงฤดูหนาว วิธีเดียวที่จะเข้าไปได้ก็คือเดินเท้าเข้าไปด้วยตัวเอง ซึ่งจะต้องยื่นแบบฟอร์มเข้าอุทยานช่วงหน้าหนาวก่อนเข้าไป และไม่ควรที่จะเข้าไปเอง ควรที่จะต้องมีไกด์ท้องถิ่นไปด้วย ซึ่งตามปกติไกด์ก็จะช่วยดำเนินการยื่นแบบฟอร์มดังกล่าวให้

ฤดูหนาว – 13 มีนาคม

สภาพอากาศและการแต่งตัว

สภาพอากาศบนภูเขานั้นแตกต่างจากภายในตัวเมือง ควรเช็คสภาพอากาศและเตรียมตัวให้ดีก่อนออกเดินทางทุกครั้ง

อุณหภูมิ/ เดือน เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย.
สูงสุด 14.2 17.6 19.4 22.8 23.3 18.1 13.3 8.6
ต่ำสุด 1.0 4.8 8.5 13.4 14.1 9.1 4.6 -0.4

อุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดและต่ำสุดในแต่ละเดือน (เซลเซียส)

การเที่ยวคามิโคจิควรแต่งตัวแบบ layering ซึ่งจะทำให้เราสามารถถอดและใส่เสื้อให้เข้ากับอุณหภูมิและสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ ด้านล่างเราจะแนะนำว่าเราจะแต่งกายอย่างไรในแต่ละเดือน อย่างไรก็ตามเป็นคำแนะนำสำหรับคนที่จะเดินเที่ยวอยู่แต่ในพื้นที่ราบของคามิโคจิจากบึงไทโชไปบึงเมียวจินเท่านั้น หากต้องการจะเดินไปไกลกว่านั้น ควรจะต้องเตรียมเสื้อผ้าสำหรับการเดินเขาโดยเฉพาะ

 

ต้นเม.ย.ต้นพ.ค.: ช่วงกลางวันอย่างน้อยควรจะสวมเสื้อผ้าฟลีซ มีเสื้อนอกเป็นดาวน์หรือเนื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นใกล้เคียงกัน สวมถุงมือ ผ้าพันคอ สามารถแต่งตัวเหมือนช่วงปลายหน้าหนาวได้

 

ปลายพ.ค.ต้นมิ.ย.: ถึงแม้ว่าอากาศจะค่อนข้างอบอุ่น แต่อุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนอาจจะขึ้นลงแตกต่างกันมาก เสื้อกันลมเป็นสิ่งที่จำเป็น และต้องสวมถุงมือและดาวน์หรือเสื้อนอกที่ให้ความอบอุ่นเวลาที่ออกไปเดินเล่นในช่วงเช้าและกลางคืน

 

มิ.ย.ต้นก.ค.: ช่วงนี้เป็นหน้าฝน นอกจากเสื้อกันลม ควรที่จะเตรียมเสื้อกันฝนหรือร่มติดตัวไปด้วย

 

ปลายก.ค.ส.ค.: อากาศเย็นสบายเมื่ออยู่ใต้ร่มไม้ สามารถใส่เสื้อแขนยาวหรือแขนสั้นก็ได้ แต่ควรที่จะมีเสื้อคลุมกันลมพกติดตัวไปด้วย

 

ก.ย.: อากาศค่อยๆเริ่มเย็นลง แนะนำให้พกเสื้อฟลีซหรือเสื้อกันหนาวสเวตเตอร์ไปด้วย ในตอนเช้าช่วงต้นเดือนอุณหภูมิอาจจะลดต่ำกว่า 10 องศาได้ แต่อาจจะยิ่งลดต่ำไปอีกในช่วงปลายเดือน อาจจะต่ำกว่า 5 องศาได้เลยในตอนเช้า

 

ต้นต.ค.: สวมเสื้อฟลีซ ควรเตรียมผ้าพันคอ ถุงมือไปด้วย ในตอนเช้าตรู่และกลางคืนอากาศหนาวเย็นควรเตรียมเสื้อนอกเช่นดาวน์ไปด้วย

 

ปลายต.ค. ต้นพ.ย.: แต่งตัวเหมือนอยู่ในฤดูหนาว สวมดาวน์หรือเสื้อที่มีเนื้อผ้าที่ให้ความอบอุ่นใกล้เคียง ผ้าพันคอและถุงมือ

เส้นทางแนะนำสำหรับเดินในคามิโคจิ (มีแผนที่)

เส้นทางเดินที่แนะนำคือตั้งแต่บึงไทโชไปจนถึงมึงเมียวจิน โดยแวะผ่านที่สะพานคัปปะ เส้นทางนี้ส่วนใหญ่เป็นทางราบ มีเนินขึ้นลงเพียงเล็กน้อย ผู้ใหญ่ที่สุขภาพแข็งแรงทุกคนสามารถเดินได้ไม่มีปัญหา ผู้สูงอายุและเด็กเล็กอาจจะรู้สึกเหนื่อยระหว่างทางได้ ในกรณีนี้สามารถแวะพักที่สะพานคัปปะ แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะเดินต่อไปหรือไม่ก็ได้ ระยะทางครึ่งหลังจากสะพานคัปปะไปบึงเมียวจินจะเดินยากกว่าครึ้งแรกเล็กน้อย สามารถสวมรองเท้าผ้าใบเดินได้ แต่ถ้าใครมีรองเท้าสำหรับเดินป่าก็จะเดินได้สบายกว่า

ระยะทาง: ประมาณ 9.2 ก.ม.

ระยะเวลา: ประมาณ 3 ชั่วโมง (ไม่รวมเวลาพักและถ่ายรูป)

ความชัน: 30 เมตร (บึงไทโช 1,490 ม. – บึงเมียวจิน 1,520 ม.

เส้นทาง: บึงไทโช > บึงทะชิโระ > สะพานโฮทากะ/ทะชิโระ > สะพานคัปปะ > บึงเมียวจิน > สะพานคัปปะ > ท่ารถบัสคามิโคจิ

วิธีเดิน แนะนำให้ลงรถบัสที่ป้ายบึงไทโช (K-29 Taisho Pond) และเดินไปตามทางเดินของอุทยานตามลำดับบนแผนที่ด้านบน หรือไม่ก็ลงรถบัสที่ท่ารถบัสคามิโคจิแล้วเดินย้อนขึ้นไปบึงเมียวจิน แล้วเดินกลับลงมาที่บึงไทโชเพื่อขึ้นรถบัสกลับก็ได้

 

อ่านเพิ่มเติม: ชวนไปปีน “ยาเกะดาเกะ” ภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่ ! (1-Day Trip)

ร้านค้าและร้านอาหาร

ร้านสะดวกซื้อมีอยู่ทั่วทุกหัวถนนในประเทศญี่ปุ่น แต่ที่คามิโคจิ เราจะไม่พบเซเว่น ลอว์สัน แฟมิลี่มาร์ทแม้เพียงร้านเดียว ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ห่างออกไปเดิน 5 นาทีจากสถานีชินชิมะชิมะ

ร้านอาหารและร้านขายของฝากที่ข้างๆท่ารถบัสคามิโคจิ

ภายในอุทยานมีร้านค้าทั้งที่บริเวณท่ารถบัส สะพานคัปปะ และภายในศูนย์นักท่องเที่ยว แต่จะขายของฝากและอุปกรณ์เกี่ยวกับการปีนเขาเป็นส่วนใหญ่ ส่วนร้านอาหารจะอยู่มีทั้งที่สะพานและที่ท่ารถ ขายอาหารท้องถิ่นอร่อยๆในราคาหลากหลายแตกต่างกันไป โรงแรมส่วนใหญ่เปิดให้บริการร้านอาหารในช่วงมื้อกลางวันให้กับแขกที่ไม่ได้เข้าพักด้วย

ข้าวหน้าปลาแซลม่อนกับปลาไหล มีจำหน่ายที่ร้านอาหารบนชั้น 2 ของท่ารถบัส (ข้อมูลปี 2018)

ถ้าหากต้องการหลีกเลี่ยงฝูงชน สามารถซื้อข้าวกล่องหรืออาหารไปกินตามจุดต่างๆในคามิโคจิได้ด้วย เพียงแต่ต้องเตรียมถุงพลาสติกเพื่อนำขยะกลับออกมาทิ้งนอกอุทยานด้วย

สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำใกล้เคียง

รอบๆคามิโคจิมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย แทนที่จะเดินทางข้ามไปจังหวัดไกลๆ ลองมาเที่ยวสถานที่นอกสายตาเหล่านี้บ้างมั๊ยคะ?

โนริคุระ

โนะริคุระแบ่งออกเป็น 2 บริเวณใหญ่ๆ คือ 1. บริเวณที่ราบสูงโนะริคุระ (Norikura Kogen / Norikura Highlands) และ 2. ยอดเขาโนะริคุระ ทาตามิไดระ (Mt. Norikura Tatamidaira) ที่โนะริคุระเต็มไปด้วยบ่อออนเซ็นและธรรมชาติที่สวยงาม ซึ่งถ้าคุณประทับใจกับคามิโคจิ ก็น่าที่จะตกหลุมรักโนะริคุระได้ไม่ยาก

มัตสึโมโต้

มัตสึโมโต้คือเมืองแห่งปราสาทอีกาดำและบ้านเกิดของศิลปินก้องโลก “ยาโยอิ คุซามะ” อยู่ห่างจากคามิโคจิเพียง 1 ชั่วโมงครึ่ง นอกจากธรรมชาติที่สวยงามของคามิโคจิ ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศษสตร์และวัฒนธรรมให้ชมอีกมากมาย

ชิราโฮเนะออนเซ็น

ชิราโฮเนะคือหนึ่งในออนเซ็นลับที่มากับประวัติศาสตร์ยาวนานตั้งแต่ยุคคามาคุระ (ค.ศ. 1185-1333) สิ่งที่พิเศษของบ่อน้ำพุร้อนแห่งนี้คือ น้ำแร่สีขาวขุ่นราวกับน้ำนม หนึ่งในที่พักที่นี่ยังมีบ่ออนเซ็นแบบดั้งเดิม ซึ่งสามารถแช่รวมกันชายหญิงได้ด้วย นับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าลองสำหรับผู้ที่ใจกล้าและไม่เขินอาย

ทาคายามะ

ทาคายามะเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งคือ “ลิตเติ้ลเกียวโต” เมืองแห่งนี้เป็นเมืองเก่าที่ได้รับการอนุรักษ์เป็นอย่างดี ให้บรรยากาศประเทศญี่ปุ่นในวันวาน นอกจากเมืองที่สวยงาม ซึ่งที่ต้องลองเมื่อมาที่นี่ก็คือ “เนื้อวัวฮิดะ” ที่ทั้งนุ่มและชุ่มฉ่ำ ถูกใจคอเนื้อย่างเป็นอย่างยิ่ง

หมู่บ้านชิราคาว่าโกะ

หมู่บ้านชิราคาว่าโกะอยู่ห่างออกไปเพียง 1 ชั่วโมงจากทาคายามะ ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกด้วยสถาปัตยกรรม “สไตล์กัชโช” อันเป็นเอกลักษณ์ ถึงแม้ว่าจะเป็นที่นิยมท่องเที่ยวในฤดูหนาว โดยเฉพาะช่วงที่มีเทศกาลประดับไฟ แต่ความจริงแล้วในฤดูอื่นก็สวยงามไม่แพ้กันเลย

ชินโฮทากะโรปเวย์

อยากเดินทางไปยืนบนความสูงเทียมเมฆโดยไม่ต้องเสียเหงื่อเพียงสักหยด? ชินโฮทากะโรปเวย์จะพาคุณเดินทางวาร์ปขึ้นไปบนความสูงกว่า 2,150 เมตร ในเพียงพริบตา จากบนนั้นสามารถความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาโฮทากะได้แบบพาโนราม่า

ทิปส์ สถานที่ที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด สามารถดินทางไปได้โดยพาสรถบัส 4-Day Alps WIDE Free Passport Ticket.

การเดินทางไปคามิโคจิ

คามิโคจิเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่เดินทางไปได้ง่ายและสะดวกสบายที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ด้วยเครือข่ายเส้นทางรถบัสมากมาย ซึ่งให้บริการโดยรถบัส Alpico เป็นหลัก

การเดินทางไปคามิโคจินั้นง่ายและสะดวกสบายมากขึ้นด้วยเส้นทางรถบัสอัลปิโก้ที่วิ่งตรงจากเมืองใหญ่ต่างๆ

จากมัตสึโมโต้ไปคามิโคจิ

เมืองมัตสึโมโต้เป็นเมืองที่สำคัญในการตั้งต้นเดินทางไปคามิโคจิ จากสถานี JR มัตสึโมโต้ ชานชาลาหมายเลข 7 นั่งรถไฟสายคามิโคจิ (Kamikochi line) เป็นเวลา 30 นาทีไปลงที่ปลายทางสถานีชินชิมะชิมะ (Shin-Shimashima) หลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปนั่งรถบัสต่ออีกประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึงคามิโคจิ รอบรถไฟและรถบัสมีค่อนข้างถี่ทุกๆชั่วโมง

*รถไฟจากมัตสึโมโต้ไปชินชิมะชิมะไม่ครอบคลุมอยู่ในพาส JR ทุกประเภท

 

นอกจากนี้ยังมีรอบรถบัสตรงไปคามิโคจิเป็น 2 รอบ เป็นรถบัสเที่ยวพิเศษเรียกว่า “National Park Liner” ออกเดินทางจากท่ารถบัสมัตสึโมโต้เวลา 5:30 และ 10:15 น. (รถบัสตรงมีเฉพาะขาไป ขากลับไม่มีให้บริการ)

 

อ่านวิธีการเดินทางและการซื้อตั๋วโดยละเอียดได้ที่บทความด้านล่าง

(อัพเดตปี 2023) วิธีการเดินทางจากมัตสึโมโต้ไปคามิโคจิโดยรถบัส

 

ดูตารางเวลารถบัสสายมัตสึโมโต้ – คามิโคจิ >

“รถไฟสายคามิโคจิ” หรือรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งคือมัตสึโมโต้เด็นเทะสึ (Matsumoto Dentetsu Line)

จากโตเกียวไปคามิโคจิ

ใครที่ไม่อยากนั่งรถไฟต่อรถบัสให้วุ่นวายก็สามารถนั่งรถบัสตรงไปคามิโคจิได้ จากเขตโตเกียวมีรถบัสให้บริการทั้งหมด 4 สาย

 

รถบัสออกเดินทางจากสถานีโตเกียวและจากท่ารถบัสชินจูกุ (Shinjuku Expressway Bus Terminal) 2 รอบ คือ รอบกลางดึกและรอบเช้า ซึ่งรถบัสรอบกลางคืนจะใช้เวลาเดินทางนานกว่ารอบเช้า เพื่อที่จะได้ไปถึงคามิโคจิตอนที่สว่างแล้ว ตอนจองสามารถเลือกที่นั่งแบบ 3แถว (กรีนคาร์) หรือแบบธรรมดา 4 แถวได้ แบบ 3 แถวจะมีที่นั่งที่กว้างขวางกว่าและยังมีแจกชุดอเมนิตี้ให้ด้วย

 

ดูตารางเวลารถบัสสายสถานีโตเกียว – คามิโคจิ >

ดูตารางเวลารถบัสสายชินจูกุ – คามิโคจิ >

สภาพภายในรถบัสแบบที่นั่ง 3 แถวกรีนคาร์ มีบริการผ้าห่ม รองเท้าแตะ ที่วางขา ช่องเสียบสำหรับชาร์จไฟ ไวไฟ และห้องน้ำบนรถบัส
รถบัสที่นั่ง 4 แถวแบบธรรมดา

นอกจากนี้ยังมีรถบัสที่ออกเดินทางจากชิบุย่าและคาวาโกะเอะด้วย โดยจะให้บริการเพียงวันละรอบ และใช้รถบัสแบบที่นั่ง 4 แถวเท่านั้น

 

ดูตารางเวลารถบัสสายชิบุย่า– คามิโคจิ >

ดูตารางเวลารถบัสสายคาวะโกเอะ/โอมิยะ – คามิโคจิ >

 

อีกหนึ่งวิธีเดินทางไปคามิโคจิจากโตเกียวคือ นั่งรถไฟ JR limited express Azusa (2.5-3 ชั่วโมง / 6,900 เยน) หรือรถบัสอัลปิโก้ (3.15 ชั่วโมง / 3,800 เยน) ไปมัตสึโมโต้ก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนไปนั่งรถไฟรถบัสต่อไปคามิโคจิ

จากโอซาก้าไปคามิโคจิ

รถบัสสายโอซาก้า – คามิโคจิให้บริการวันละ 2 รอบ รอบกลางคืนจะใช้รถบัสแบบที่นั่ง 3 แถว (กรีนคาร์) เพื่อความสะดวกสบายที่มากขึ้น เพราะรถบัสรอบกลางคืนจะใช้เวลาเดินทางนานกว่า เพื่อให้เวลาที่ไปถึงคามิโคจิตอนเช้าไม่มืดเกินไป ส่วนรอบที่ออกเดินทางตอนเช้าจะใช้รถบัสแบบ 4 ที่นั่งธรรมดา

 

ดูตารางเวลารถบัสสายโอซาก้า/เกียวโต – คามิโคจิ >

จากนากาโนะไปคามิโคจิ

รถบัสเส้นทางนี้ให้บริการเพียงรอบเดียว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง และรถบัสที่ใช้จะเป็นรถบัสแบบธรรมดา4 ที่นั่ง

 

ดูตารางเวลารถบัสสายนากาโนะ – คามิโคจิ >

จากทาคายามะไปคามิโคจิ

จากทาคายามะใช้เวลานั่งรถบัสประมาณ 1 ชั่วโมงไปฮิรายุออนเซ็น เพื่อต่อรถบัสไปคามิโคจิอีก 30 นาที

 

ดูตารางเวลารถบัสสายทาคายามะ – คามิโคจิ >

เช่ารถขับไปคามิโคจิ

สำหรับคนที่จะเช่ารถขับเองไปคามิโคจิ ต้องไปจอดรถที่สะวันโด (Sawando) หรือ อะคันดานะ (Akandana) แล้วนั่งรถบัสสาธารณะต่อเข้าไปในอุทยานคามิโคจิ (ไม่อนุญาตให้นำรถส่วนตัวเข้าไปในอุทยาน)

 

ดูตารางรถบัสสาย Sawando – Kamikochi >

ดูตารางรถบัสสาย Akandana/Hirayu Onsen – Kamikochi >

ท่ารถบัสคามิโคจิ

การเดินทางไปสถานที่ท่องเที่ยวรอบๆคามิโคจิ

จากคามิโคจิไปโนริคุระ

จากคามิโคจิให้นั่งรถบัสสายคามิโคจิ – สะวันโดะ ไปลงที่ K-20 ท่ารถบัสสะวันโดะ เพื่อต่อรถไฟโนริคุระ

 

ดูตารางเวลารถบัสสาย Kamikochi – Norikura >

จากคามิโคจิไปชิราโฮเนะออนเซ็น

จากคามิโคจิให้นั่งรถบัสสายคามิโคจิ – สะวันโดะ ไปลงที่ K-20 ท่ารถบัสสะวันโดะ เพื่อต่อรถไฟชิราโฮเนะออนเซ็น

 

ดูตารางเวลารถบัส Kamikochi – Shirahone Onsen >

พาสรถบัสแนะนำ

พาส 2-Day Free Passport

สถานที่ท่องเที่ยวที่ครอบคลุม: มัตสึโมโต้ คามิโคจิ โนะริคุระ และชิราโฮเนะออนเซ็น
ราคา: 7,600 เยน (สำหรับแบบใช้ 3 วัน ราคา 9,100 เยน)
รายละเอียดพาส >

พาส 4-Day Alps WIDE Free Passport

สถานที่ท่องเที่ยวที่ครอบคลุม: มัตสึโมโต้ คามิโคจิ โนะริคุระ ชิราโฮเนะออนเซ็น ทาคายามะ ชิราคาว่าโกะ ชินโฮทากะโรปเวย์ เกะโระออนเซ็น และอื่นๆ
ราคา: 12,200 เยน (แบบที่รวมตั๋วขึ้นลงโรปเวย์ด้วยราคา 14,500 เยน)
รายละเอียดพาส >

พาส Alps Crossing Ticket (เส้นทางคามิโคจิ)

สถานที่ท่องเที่ยวที่ครอบคลุม: มัตสึโมโต้ คามิโคจิ ฮิรายุออนเซ็น และทาคายามะ
ราคา: 5,000 เยน (แบบที่รวมตั๋วขึ้นลงโรปเวย์ด้วยราคา 13,000 เยน)
รายละเอียดพาส >

ปีนยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาโนะริคุระ (3,026 ม.) ภายในแค่ 3 ชั่วโมง!
1 วันกับทริปชมวิวหิมะกับใบไม้เปลี่ยนสีที่ทาเตยามะคุโรเบะอัลไพน์รูท

บทความที่คุณอาจสนใจ

ใครว่าคามิโคจิไปตอนฤดูหนาวไม่ได้ แอดมินจะพาไปเอง

One-day Hiking ที่คามิโคจิ @ Mt. Yakedake