รวมมาให้แล้ว สถานที่เที่ยวสายภูเขา ธรรมชาติป่าเขาทั่วจังหวัดนากาโนะและเทือกเขาเจแปนแอลป์
เนื้อหาบทความ
ศาลเจ้าโทะกากุชิ (Togakushi)
ศาลเจ้าโทะกากุชิ (Togakushi) พาวเวอร์สปอตที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในจังหวัดนากาโนะ บรรยากาศเย็นร่มรื่นในป่า เหมาะสำหรับการเดินเล่นชิลๆเป็นที่สุด ที่นี่มีศาลเจ้า 5 แห่งอยู่กระจัดกระจายกันไป นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นนิยมเดินให้ครบทั้ง 5 แห่งเพื่อจะได้ความเป็นสิริมงคล แต่ถ้าเดินไม่ไหวหรือไม่ค่อยมีเวลา แนะนำว่าให้แวะที่ศาลเจ้าโทะกากุชิจูฉะ (Togakushi Chusha) หรือ ศาลเจ้าโทะกากุชิโอะคุฉะ (Togakushi Okusha) แห่งใดแห่งหนึ่งก็ได้ ศาลเจ้าโทะกากุชิจูฉะเดินทางสะดวกสุดเพราะอยู่ตรงหน้าป้ายรถบัสเลย แต่ว่าที่นิยมมากที่สุดน่าจะเป็นศาลเจ้าโทะกากุชิโอะคุฉะ เพราะระหว่างทางมีทางเดินต้นสนโบราณแสนสวยกับประตูซุนชินมง (Zuishinmon) สีแดงเป็นไฮไลท์จุดถ่ายรูปด้วย
นอกจากศาลเจ้า สถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจก็ยังมีพิพิธภัณฑ์นินจาและคฤหาสน์นินจา Trick House และเมื่อมาโทะกากุชิก็ต้องอย่าลืมแวะกินโซบะ ของดีท้องถิ่นที่เขาว่าอร่อยติดอันดับ 1 ใน 3 ของญี่ปุ่นด้วย
ช่วงใบไม้สีเขียว: เดือนพฤษภาคม – เดือนกันยายน
วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถบัสสาย 70 จากหน้าสถานีนากาโนะที่ป้ายรถบัสหมายเลข 7 (อยู่หน้า Alpico Kotsu Ticket Office) ลงที่ป้าย Togakushi Okusha จากนั้นเดินต่ออีกประมาณ 20 นาทีก็ถึงประตูซุยชินมง (ศาลเจ้าโทะกากุชิชั้นในใช้เวลาประมาณ 40 นาที ) ส่วนรถบัสสาย 73 ก็ขึ้นได้เช่นกัน แต่สามารถไปได้ถึงแค่ Togakushi Chusha
บึงฮัปโป (Happo Pond)
บึงฮัปโป (Happo Pond) คือ บึงน้อยๆน้อยภูเขาสูงใหญ่ที่สวยราวกับภาพวาด วันไหนที่อากาศเป็นใจจะสามารถชมเทือกเขาเจแปนแอลป์ที่สะท้อนลงบนผิวน้ำใสราวกับกระจกได้ด้วย จากสถานีสกีลิฟ์ชั้นบนสุด เดินขึ้นเขาต่อไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมงก็จะถึงบึงฮัปโป (2,060 เมตร) ทางเดินส่วนส่วนใหญ่เป็นทางเดินทำด้วยไม้ ใครที่ไม่เคยเดินขึ้นเขาก็สามารถเดินได้ไม่ลำบากมากนัก
ช่วงใบไม้สีเขียว: เดือนกรกฎาคม – เดือนกันยายน
วิธีการเดินทาง: วิธีการเดินทางที่สะดวกสุดคือเริ่มต้นจากสถานี JR Nagano นั่งรถบัสสาย Nagano-Hakuba ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ลงที่ป้าย Hakuba Station หรือท่ารถบัสฮาคุบะฮัปโป (Hakuba Happo Bus Terminal) จากนั้นก็นั่งรถชัตเทิลบัสฟรีไปลงที่สถานีกอนโดล่า Happo แต่เนื่องจากชัตเทิลบัสมีรอบน้อย ถ้าเดินทางหลายคนแนะนำว่าต่อรถแท็กซี่ไปจะสะดวกและประหยัดเวลากว่า
ภูเขาโนริคุระ (Mt. Norikura)
ภูเขาโนริคุระ (Mt. Norikura) มีความสูง 3,026 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเจแปนแอลป์ มีชื่อเสียงว่าเป็นภูเขาสูงกว่าระดับ 3,000 เมตรที่ปีนง่ายที่สุด เพราะสามารถนั่งรถบัสไปรวดเดียวถึงความสูงประมาณ 2,702 เมตร เดินขึ้นไปอีกนิดเดียวก็ถึงยอดแล้ว ระหว่างทางยังมีบึงน้อยใหญ่ที่เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟให้ชมด้วย เดินขึ้นลงไปกลับใช้เวลาเพียงประมาณ 3 ชั่วโมงเท่านั้น อีกไฮไลท์หนึ่งของภูเขาโนริคุระก็คือการชมพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า
ช่วงใบไม้สีเขียว: เดือนมิถุนายน – เดือนกันยายน
วิธีการเดินทาง: นั่งรถไฟสายคามิโคจิจากชานชาลาหมายเลข 7 สถานีมัตสึโมโต้ ไปลงที่สถานีชินชิมะชิมะ ใช้เวลา 30 นาที หลังจากนั้นก็ต่อรถบัสที่ไปที่ราบสูงโนะริคุระ (Norikura Kogen) ลงรถที่ป้าย N-29 Norikura Tourist Info Center ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เปลี่ยนรถอีกครั้งที่ศูนย์นักท่องเที่ยวโนะริคุระเพื่อนั่งบัสต่อไปยังยอดเขาโนะริคุระ (ท่ารถบัสทาตามิไดระ) รถบัสนี้จะวิ่งไปบนถนนโนริคุระเอคโค่ไลน์ที่คดเคี้ยวไปมาเป็นเวลา 50 นาที ผ่านวิวภูเขาที่สวยงามโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูใบไม้ร่วง
ดูตารางรถบัสจาก มัตสึโมโต้ไปโนริคุระโคเก็ง >
ดูตารางรถบัสจาก โนริคุระโคเก็งไปภูเขาโนริคุระ (ทาคามิไดระ) >
ดูตารางรถบัสชมพระอาทิตย์ขึ้น >
อ่านเพิ่มเติม: พาปีนภูเขาโนริคุระ (3,026 เมตร) แบบสบายๆ ไปเช้าเย็นกลับ
คามิโคจิ (Kamikochi)
คามิโคจิ (Kamikochi) หุบเขาแสนสวยแห่งนี้ เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ฮอตฮิตที่สุดของจังหวัดนากาโนะเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าชาวต่างชาติจะนิยมไปเที่ยวกันในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ความจริงช่วงหน้าร้อนก็สวยไม่แพ้กันเลย โดยเฉพาะในช่วงกลางเดือนพฤษภาคมถึงกลางเดือนมิถุนายน เพราะนอกจากจะได้ชมใบไม้สีเขียวสดที่เพิ่งผลัดใบ ก็ยังสามารถชมเทือกเขาโฮทากะที่ยังมีหิมะปกคลุมเป็นสีขาวได้ด้วย แถมอากาศยังดีไม่ร้อนและไม่หนาว กำลังพอดีเลย
ช่วงใบไม้สีเขียว: เดือนมิถุนายน – เดือนกันยายน
วิธีการเดินทาง: สามารถอ่านวิธีการเดินทางโดยละเอียดได้ที่บทความด้านล่าง
ดูตารางรถบัสไปคามิโคจิทั้งหมด >
อ่านเพิ่มเติม:
คู่มือแนะนำเที่ยวคามิโคจิ (เที่ยวเมื่อไหร่ เดินทางยังไง เดินเที่ยวยังไง)
เมืองเก่านาราอิ-จุกุ (Narai-juku)
เมืองเก่านาราอิ-จุกุ (Narai-juku) เมืองเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางสายนากาเซ็นโดะ ในอดีตถูกใช้เป็นเมืองพักแรมสำหรับผู้คนที่ใช้เดินทางสัญจรไปมา รวมถึงเหล่าเจ้าครองแคว้นต่างๆที่ต้องเดินทางไปทำความเคารพโชกุนถึงเมืองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) เมืองแห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์ดูแลเป็นอย่างดี จึงคงสภาพที่สมบูรณ์ ทำให้เราพอที่จะจินตนาการเห็นภาพสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนชาวญี่ปุ่นในอดีตได้ นอกจากบ้านเรือนสวยๆ ที่นี่ก็ยังหลงเหลือมรดกทางวัฒนธรรมไว้อีกอย่างก็คือ เทคนิคการผลิตภาชนะที่ทำด้วยไม้และเครื่องเขินต่างๆ เหมาะสำหรับการซื้อเก็บเป็นของฝากหรือของที่ระลึก
ช่วงใบไม้สีเขียว: เดือนพฤษภาคม – กลางเดือนตุลาคม
วิธีการเดินทาง: สามารเดินทางมาได้ด้วยรถไฟ JR สาย Chuo สถานีที่ใกล้ที่สุดก็คือสถานี JR Narai ซึ่งพอออกจากสถานีเดินอีก 3 นาทีก็ถึงทางเข้าเมืองเก่านาราอิ-จุกุเลย
กำแพงหิมะโนริคุระ (Norikura Snow Walls)
นอกจากกำแพงหิมะที่ทาตายามะคุโรเบะอัลไพน์รูทแล้ว ญี่ปุ่นก็ยังมีกำแพงหิมะอีกหลายแห่ง รวมถึงที่โนริคุระด้วย ถึงแม้ว่ากำแพงจะสูงไม่เท่า แต่มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่าไม่พลุ่กพล่าน แถมยังอยู่ไม่ไกลจากคามิโคจิ สามารถมาเที่ยวควบกันได้ไม่ยาก
ช่วงชมกำแพงหิมะ: ปลายเดือนเมษายน – เดือนมิถุนายน
วิธีการเดินทาง: สามารถอ่านวิธีการเดินทางโดยละเอียดได้ที่บทความนี้
อ่านเพิ่มเติม:
“กำแพงหิมะ” ไม่ได้มีที่ทาเตยามะอัลไพน์รูทที่เดียว!
ไร่วาซาบิไดโอ (Daio Wasabi Farm)
วาซาบิเป็นพีชที่ต้องการความประคบประหงบอย่างดี นอกจากแสงแดดที่เพียงพอ ยังต้องมีน้ำสะอาดไหลผ่านตลอดเวลา ทำให้ไม่สามารถปลูกได้โดยทั่วไป ไร่วาซาบิไดโอ (Daio Wasabi Farm) เป็นไร่วาซาบิที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัด ที่แปลงปลูกมีน้ำพุที่ไหลละลายมาจากหิมะบนภูเขาแอลป์ ซึ่งมีอุณภูมิคงที่ที่ 13 องศา ทำให้วาซาบิของที่นี่มีรสชาติดีและปลูกได้ปริมาณมาก ไม่เพียงแต่จะได้ชมวิธีการปลูกวาซาบิแล้ว ที่ไร่แห่งนี้ก็ยังสามารถชมเมนูต่างๆที่ทำมาจากวาซาบิได้ด้วย เช่น ซอฟต์ครีมวาซาบิ โซบะและข้าวหน้าไข่ปลาแซลมอนที่เสิร์ฟคู่กันมากับหัววาซาบิสดๆให้เราได้ขูดทานกันเองเลย รสชาติไม่ฉุน ออกรสหวานปลายลิ้น อร่อยกว่าวาซาบิหลอดแน่นอน
ช่วงใบไม้สีเขียว: เดือนเมษายน – กลางเดือนตุลาคม
วิธีการเดินทาง: สามารถเดินทางมาได้โดยรถไฟ JR สาย Oito ลงที่สถานี Hotaka จากนั้นก็ต่อรถแท็กซี่มาอีก 10 นาที
อิวาตาเกะเมาเท่นรีสอร์ท (Iwatake Moutain Resort)
ที่เที่ยวแห่งสุดท้ายที่จะแนะนำก็คือ “อิวาตาเกะเมาเท่นรีสอร์ท” สถานที่เที่ยวชิลๆกับจุดถ่ายรูปภูเขาสวยๆ เดินทางง่ายดาย แค่นั่งกอนโดล่ารวดเดียวก็ถึง นอกจากวิวสวยๆก็ยังมีกิจกรรมให้ทำมากมาย เช่น ขี่ม้า ขับรถ Buggy ขี่จักรยาน MTB นั่งเครื่องเล่น Luge โดยเฉพาะที่ได้รับความนิยมจนต้องเข้าแถวรอคิวกันก็คือ ชิงช้า Yoo Hoo! Swing ที่ตั้งอยู่บนริมผาหันหน้าออกไปทางภูเขา เวลาแกว่งไกวก็จะรู้สึกราวกับว่าได้กระโจนขึ้นไปบนเทือกเขาแอลป์เลย
ช่วงใบไม้สีเขียว: เดือนพฤษภาคม – กลางเดือนตุลาคม
วิธีการเดินทาง: วิธีการเดินทางที่สะดวกสุดคือเริ่มต้นจากสถานี JR Nagano นั่งรถบัสสาย Nagano-Hakuba ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีก็ถึงอิวาตาเกะเมาเท่นรีสอร์ท ส่วนใครที่เดินทางจากสถานี JR Hakuba และท่ารถบัสฮาคุบะฮัปโป (Hakuba Happo Bus Terminal) ก็สามารถนั่งรถบัสสาย Hakuba – Tsugaike ไปได้ ลงที่ป้าย Hakuba Iwatake Mountain Resort ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือถ้าเดินทางหลายคนจะเรียกแท็กซี่ไปก็ได้